เมื่อแรกที่ธุรกิจประกันชีวิตเข้ามาในตลาด มักมีเสียงโกรธเกรี้ยวจากพ่อเฒ่าแม่เฒ่าเสมอว่า คนที่มาชวนให้ทำประกันชีวิต คือมาแช่งชักให้เสียชีวิตเร็ว ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป รูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ความเสี่ยงต่าง ๆ รอบตัวเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ อาชญากรรม หรือแม้แต่โรคร้ายใหม่ ๆ ปัจจุบันการทำประกันชีวิตกลายเป็นการซื้อความมั่นคงรูปแบบหนึ่งทั้งต่อชีวิตตัวเองและครอบครัว เพื่อให้เตรียมพร้อมรับเหตุที่ไม่คาดฝัน
การทำประกันชีวิต คือ การชดเชยรายได้ที่ต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากความตาย ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงหรือชราภาพ และบางกรมธรรม์ครอบคลุมไปถึงการสูญเสียอวัยวะ การบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ภายในเวลาที่กำหนด หรือมีอายุยืนยาวจนครบกำหนดตามที่ระบุไว้ บริษัทประกันจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ หรือผู้เอาประกันภัยแล้วแต่กรณี ทั้งนี้เงื่อนไขความคุ้มครองจะมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการเลือกซื้อตามความเหมาะสมและความต้องการของผู้เอาประกันภัยเป็นหลัก
เช่น เพื่อให้ครอบคลุมกับวิถีการดำรงชีวิตที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงอื่น ๆ ยังสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมเป็นสัญญาคุ้มครองสุขภาพ สัญญาคุ้มครองอุบัติเหตุ หรือสัญญาคุ้มครองโรคร้ายแรงได้อีกด้วย ดังนั้น ลองมาดูกันว่าการทำประกันชีวิตแบบไหนที่ตรงใจคุณที่สุด ด้วยการจำลองสถานการณ์ต่อไปนี้
- คุณต้องการมีมรดกไว้ให้ลูกหลาน การทำประกันชีวิต เหมาะสมที่สุด
- คุณต้องการมีมรดก และต้องการให้คุ้มครองค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย การทำประกันชีวิตและซื้อสัญญาคุ้มครองสุขภาพเพิ่ม เหมาะสมที่สุด
- คุณต้องการออมเงินไว้ใช้หลังเกษียณอายุ การทำประกันชีวิตแบบมีเงินออม เหมาะสมที่สุด
- คุณต้องการแค่ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย โดยไม่สนใจเงินออมหรือมรดกให้ลูกหลาน การทำประกันสุขภาพ เหมาะสมที่สุด
ลองเลือกรูปแบบการประกันชีวิตในราคาและความคุ้มครองที่เหมาะสมกับคุณ เพราะปัจจุบันมีให้เลือกอย่างหลากหลาย และท้ายที่สุดเมื่อเกิดเหตุขึ้นจริง ๆ คุณจะไม่เสียใจในภายหลัง